
บทบาทของปัญญาประดิษฐ์ในภาคเกษตรกรรมโลกและแนวโน้มในอนาคต: กรณีศึกษาประเทศไทย
การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาประยุกต์ใช้ในภาคเกษตรกรรมกำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำเกษตรทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรมที่สำคัญ มีพื้นที่เพาะปลูกกว่า 150 ล้านไร่ และเป็นผู้ส่งออกผลผลิตทางการเกษตรชั้นนำของโลก แม้จะมีความได้เปรียบด้านทรัพยากรธรรมชาติ แต่ประสิทธิภาพการผลิตต่อไร่ของไทยยังต่ำกว่าหลายประเทศ ทำให้การนำ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรเป็นโอกาสสำคัญ โครงการความร่วมมือระหว่างบริษัท ลิสเซินฟิลด์ จำกัด และ Kubota ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยลง 15% และเพิ่มผลผลิตขึ้น 15% ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 1,500 บาทต่อไร่1
ภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงในภาคเกษตรกรรมโลก
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ภาคเกษตรกรรมทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกที่ทำให้ความต้องการอาหารสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้สภาพแวดล้อมการเพาะปลูกไม่แน่นอน ปัญหาการขาดแคลนแรงงานภาคเกษตร และความต้องการอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัยมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ผลักดันให้เกิดการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการเกษตรอย่างก้าวกระโดด
ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่การผลิตอาหาร ตั้งแต่การวางแผนการเพาะปลูก การติดตามการเจริญเติบโตของพืช การจัดการน้ำและปุ๋ย การควบคุมศัตรูพืช ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว แนวคิด “เกษตรแม่นยำ” (Precision Agriculture) ได้รับการพัฒนาและนำไปใช้ในหลายประเทศทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น การใช้ AI ในภาคเกษตรมีความก้าวหน้าอย่างมาก มีการใช้โดรน หุ่นยนต์ และเซ็นเซอร์อัจฉริยะที่ควบคุมด้วย AI ในการทำเกษตรกรรมเชิงพาณิชย์ ขณะที่ในประเทศกำลังพัฒนารวมถึงประเทศไทย การนำ AI มาใช้ในภาคเกษตรกำลังเริ่มต้นและมีแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็ว
การประยุกต์ใช้ AI ในการเกษตรสมัยใหม่
เทคโนโลยี AI ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการเกษตรในหลากหลายรูปแบบ อาทิ ระบบวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศและดาวเทียมเพื่อประเมินสุขภาพของพืชและดิน ระบบฟาร์มอัจฉริยะที่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมการเพาะปลูกอย่างอัตโนมัติ แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลสภาพอากาศเพื่อคาดการณ์ผลผลิตและป้องกันความเสียหายจากสภาพอากาศรุนแรง
การใช้ AI ในการเกษตรยังรวมถึงการพัฒนาระบบตรวจจับและวินิจฉัยโรคพืชจากภาพถ่าย การควบคุมเครื่องจักรกลเกษตรอัตโนมัติ และแอปพลิเคชันให้คำแนะนำเกษตรกรในการจัดการฟาร์ม บริษัทเทคโนโลยีการเกษตร (AgTech) จำนวนมากได้พัฒนาโซลูชันที่ใช้ AI เพื่อช่วยเกษตรกรตัดสินใจอย่างแม่นยำ ลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิต
หนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จคือโครงการความร่วมมือระหว่างบริษัท ลิสเซินฟิลด์ จำกัด และ Kubota ที่พัฒนาระบบ AI ควบคุมเครื่องจักรกลการเกษตรอัจฉริยะในประเทศไทย โดยเชื่อมโยงข้อมูลธาตุอาหารในดิน อัตราการเจริญเติบโตของพืช และสร้างแผนที่การให้ปุ๋ยที่เหมาะสม ส่งผลให้สามารถลดปริมาณการใช้ปุ๋ยลงได้ในขณะที่ผลผลิตกลับเพิ่มขึ้น1
แนวโน้มของ AI ในภาคเกษตรกรรมโลก
แนวโน้มการพัฒนา AI ในภาคเกษตรกรรมโลกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องหลายด้าน อาทิ Internet of Things (IoT), Big Data, Cloud Computing และการสื่อสารไร้สายความเร็วสูง (5G) ที่ทำให้การเก็บ วิเคราะห์ และใช้ข้อมูลในภาคเกษตรมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การพัฒนาที่สำคัญในอนาคตอันใกล้รวมถึงการบูรณาการเทคโนโลยี AI กับระบบอัตโนมัติทางการเกษตร เช่น หุ่นยนต์เก็บเกี่ยว โดรนพ่นสารเคมีแบบแม่นยำ และระบบการจัดการน้ำอัจฉริยะ นอกจากนี้ การพัฒนาแพลตฟอร์มการวิเคราะห์ข้อมูลที่เรียนรู้และปรับตัวได้ (Machine Learning) จะช่วยให้เกษตรกรสามารถตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่แม่นยำมากขึ้น
นวัตกรรม AI ที่กำลังเปลี่ยนแปลงการเกษตรโลก
ในอนาคตอันใกล้ เราจะเห็นนวัตกรรม AI ที่กำลังเปลี่ยนแปลงภาคเกษตรกรรมโลกในหลายมิติ เช่น:
- ระบบฟาร์มอัตโนมัติที่ควบคุมโดย AI (AI-powered Autonomous Farming) – ระบบที่ควบคุมหุ่นยนต์ทางการเกษตรให้ทำงานต่างๆ ตั้งแต่การเตรียมดิน หว่านเมล็ด ดูแลพืช จนถึงการเก็บเกี่ยวโดยอัตโนมัติ ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
- Digital Twin ในการเกษตร – การจำลองฟาร์มเสมือนจริงในรูปแบบดิจิทัลที่สามารถทดลองและคาดการณ์ผลลัพธ์ก่อนนำไปปฏิบัติจริง ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสความสำเร็จ
- การวิเคราะห์ห่วงโซ่อุปทานแบบองค์รวม – การใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่การผลิตจนถึงผู้บริโภค ช่วยลดการสูญเสียอาหาร (Food Loss) และเพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์
- แพลตฟอร์มเกษตรกรรมเป็นบริการ (Farming as a Service) – การให้บริการด้านการเกษตรที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงโดยไม่ต้องลงทุนในอุปกรณ์ราคาสูง
นวัตกรรมเหล่านี้กำลังแพร่หลายในระดับโลก และเริ่มเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เปิดรับเทคโนโลยีและพร้อมปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง
สถานการณ์ปัจจุบันและความท้าทายของเกษตรกรรมไทย
ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมที่สำคัญของโลก มีพื้นที่เพาะปลูกกว่า 150 ล้านไร่ และส่งออกผลผลิตทางการเกษตรติดอันดับต้นๆ ของโลกในหลายพืช1 อย่างไรก็ตาม ภาคเกษตรของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งประสิทธิภาพการผลิตที่ยังต่ำเมื่อเทียบกับหลายประเทศ การสูงวัยของประชากรภาคเกษตร การขาดแคลนแรงงาน และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ปัญหาเหล่านี้ส่งผลให้ภาครัฐและเอกชนเริ่มผลักดันการนำเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI มาใช้ในภาคเกษตรมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และช่วยให้เกษตรกรสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ แม้จะมีความก้าวหน้าในด้านนี้ แต่การนำ AI มาใช้ในภาคเกษตรของไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้นและมีความท้าทายหลายประการ
ความท้าทายในการนำ AI มาใช้ในเกษตรกรรมไทย
การนำ AI มาใช้ในภาคเกษตรของไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น:
- ข้อจำกัดด้านความรู้และทักษะ – เกษตรกรไทยส่วนใหญ่ยังขาดความรู้และทักษะในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI โดยเฉพาะเกษตรกรผู้สูงอายุที่มีสัดส่วนสูงในภาคเกษตรของไทย
- การลงทุนเริ่มต้นที่สูง – อุปกรณ์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI ในการเกษตรมักมีราคาสูง ทำให้เกษตรกรรายย่อยเข้าถึงได้ยาก
- โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในพื้นที่ชนบท – พื้นที่เกษตรกรรมหลายแห่งในประเทศไทยยังมีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการใช้งาน AI
- ขนาดพื้นที่เพาะปลูกที่เล็ก – เกษตรกรไทยส่วนใหญ่มีพื้นที่เพาะปลูกขนาดเล็ก ทำให้การลงทุนในเทคโนโลยีอาจไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ได้รับ
แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ แต่ก็มีตัวอย่างความสำเร็จในการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในภาคเกษตรของไทย ซึ่งชี้ให้เห็นถึงศักยภาพและโอกาสในอนาคต
กรณีศึกษาความสำเร็จของ AI ในเกษตรกรรมไทย
ความร่วมมือระหว่างบริษัท ลิสเซินฟิลด์ จำกัด และ Kubota เป็นตัวอย่างความสำเร็จที่โดดเด่นของการประยุกต์ใช้ AI ในภาคเกษตรของไทย โครงการนี้ได้พัฒนาระบบ AI เพื่อควบคุมเครื่องจักรกลการเกษตรอัจฉริยะ โดยเชื่อมโยงข้อมูลธาตุอาหารในดิน อัตราการเจริญเติบโตของพืช และสร้างแผนที่การให้ปุ๋ยที่เหมาะสม1
โครงการได้ดำเนินการต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 2 ปีในพื้นที่แปลงข้าวที่จังหวัดฉะเชิงเทราและสระแก้ว ผลลัพธ์ที่ได้คือสามารถลดการใช้ปุ๋ยลง 15% หรือคิดเป็นประมาณ 250 บาทต่อไร่ ในขณะที่ผลผลิตกลับเพิ่มขึ้นอีกกว่า 15% โดยเฉลี่ยแล้ว รายได้ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 1,500 บาทต่อไร่1 ซึ่งเป็นการยืนยันถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจของการใช้ AI ในการเกษตร
นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างอื่นๆ ของการประยุกต์ใช้ AI ในภาคเกษตรของไทย เช่น:
- ระบบตรวจจับและวินิจฉัยโรคพืชจากภาพถ่ายผ่านแอปพลิเคชันมือถือ ช่วยให้เกษตรกรสามารถระบุปัญหาได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
- แพลตฟอร์มตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ที่ใช้ AI วิเคราะห์อุปสงค์และอุปทาน ช่วยให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตและการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- โรงเรือนอัจฉริยะที่ควบคุมสภาพแวดล้อมการเพาะปลูกด้วย AI ช่วยเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของพืชผัก
กรณีศึกษาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า AI สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำเกษตรในประเทศไทยและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคเกษตรได้อย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการใช้ AI ในเกษตรกรรมไทย
การนำ AI มาใช้ในภาคเกษตรไม่เพียงส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการผลิตเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย อาทิ:
- การยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเกษตรกร – การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
- การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม – การใช้ปัจจัยการผลิตอย่างแม่นยำช่วยลดการใช้สารเคมีเกษตร ลดมลพิษ และส่งเสริมความยั่งยืนของระบบนิเวศ
- การสร้างโอกาสทางอาชีพใหม่ – การเติบโตของเทคโนโลยี AI ในภาคเกษตรสร้างความต้องการบุคลากรที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีการเกษตร เกิดอาชีพใหม่ๆ ที่เชื่อมโยงระหว่างเทคโนโลยีและการเกษตร
- การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอายุของเกษตรกร – การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเกษตรช่วยดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้สนใจอาชีพเกษตรกรรมมากขึ้น ช่วยแก้ปัญหาการสูงวัยของประชากรภาคเกษตร
ผลกระทบเหล่านี้มีความสำคัญต่อการพัฒนาภาคเกษตรของไทยในระยะยาวและการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน
แนวโน้มและโอกาสในอนาคตของเกษตรกรรมไทยยุค AI
การผสมผสานระหว่าง AI กับการเกษตรในประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและมีแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคต โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมและทัศนคติของเกษตรกรรุ่นใหม่
แนวโน้มสำคัญในอนาคตของเกษตรกรรมไทยยุค AI ประกอบด้วย:
- การขยายตัวของแพลตฟอร์มเกษตรอัจฉริยะที่เข้าถึงได้ – การพัฒนาแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย ราคาไม่สูงมาก เหมาะกับบริบทของเกษตรกรไทย ช่วยให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึง AI ได้มากขึ้น
- การรวมกลุ่มของเกษตรกรเพื่อใช้เทคโนโลยีร่วมกัน – เกษตรกรรายย่อยรวมกลุ่มกันเพื่อลงทุนในเทคโนโลยี AI และใช้ประโยชน์ร่วมกัน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มอำนาจต่อรอง
- การเชื่อมโยงระบบ AI กับตลาดและผู้บริโภค – การใช้ AI วิเคราะห์แนวโน้มตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค ช่วยให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
- การพัฒนาโซลูชัน AI สำหรับพืชเศรษฐกิจเฉพาะของไทย – การพัฒนา AI ที่เหมาะสมกับพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา และผลไม้เมืองร้อน ช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก
บทบาทของเกษตรกรไทยในยุค AI
ในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทในภาคเกษตร เกษตรกรไทยจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนาทักษะใหม่ๆ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างเต็มที่ บทบาทของเกษตรกรไทยในยุค AI จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในหลายมิติ:
- จากผู้ผลิตสู่ผู้จัดการฟาร์มอัจฉริยะ – เกษตรกรจะเปลี่ยนบทบาทจากผู้ลงแรงในไร่นาเป็นผู้จัดการฟาร์มที่ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีในการตัดสินใจ
- การพัฒนาทักษะดิจิทัลและการวิเคราะห์ข้อมูล – เกษตรกรจำเป็นต้องพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลและการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การสร้างเครือข่ายและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ – เกษตรกรจะต้องสร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะอย่างต่อเนื่อง
- การเป็นผู้ประกอบการเกษตร – เกษตรกรจะต้องพัฒนาทักษะด้านการเป็นผู้ประกอบการ การตลาด และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิต
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะนำไปสู่การยกระดับอาชีพเกษตรกรรมในประเทศไทยให้เป็นอาชีพที่มีความทันสมัย มีเกียรติ และสร้างรายได้ที่มั่นคง ดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้กลับเข้าสู่ภาคเกษตรมากขึ้น
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและการปฏิบัติ
เพื่อส่งเสริมการนำ AI มาใช้ในภาคเกษตรของไทยอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและการปฏิบัติที่สำคัญดังนี้:
สำหรับภาครัฐ
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในพื้นที่ชนบท – ขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมพื้นที่เกษตรกรรมทั่วประเทศ เพื่อรองรับการใช้งานเทคโนโลยี AI
- การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา – จัดสรรงบประมาณและสร้างกลไกสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่เหมาะสมกับบริบทของเกษตรกรรมไทย
- การพัฒนาทักษะและความรู้ด้านดิจิทัล – จัดหลักสูตรอบรมและพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลและ AI ให้กับเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรรุ่นใหม่
- การสร้างแรงจูงใจทางการเงิน – จัดมาตรการสนับสนุนทางการเงิน เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การลดหย่อนภาษี เพื่อส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยี AI ของเกษตรกร
สำหรับภาคเอกชน
- การพัฒนาโซลูชันที่เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น – พัฒนาเทคโนโลยี AI ที่เหมาะสมกับบริบทของเกษตรกรรมไทย คำนึงถึงขนาดพื้นที่เพาะปลูก ชนิดพืช และปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรม
- การสร้างความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา – ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีสู่เกษตรกร
- การพัฒนาโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน – พัฒนาโมเดลธุรกิจที่ช่วยให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้ เช่น ระบบการเช่าใช้อุปกรณ์ แพลตฟอร์มแบ่งปันเครื่องจักร
สำหรับเกษตรกร
- การเปิดใจยอมรับเทคโนโลยีใหม่ – เปิดใจเรียนรู้และทดลองใช้เทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน
- การรวมกลุ่มและสร้างเครือข่าย – รวมกลุ่มกับเกษตรกรคนอื่นๆ เพื่อแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ และทรัพยากรในการใช้เทคโนโลยี AI
- การพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง – พัฒนาทักษะด้านดิจิทัลและการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มที่
การดำเนินการตามข้อเสนอแนะเหล่านี้จะช่วยเร่งการนำ AI มาใช้ในภาคเกษตรของไทย และนำไปสู่การยกระดับภาคเกษตรให้มีความทันสมัย มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนมากขึ้น
บทสรุป
ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำเกษตรทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทย โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และสร้างความยั่งยืนให้กับภาคเกษตร ตัวอย่างความสำเร็จในประเทศไทย เช่น โครงการความร่วมมือระหว่างบริษัท ลิสเซินฟิลด์ จำกัด และ Kubota ที่สามารถลดการใช้ปุ๋ยลง 15% ในขณะที่เพิ่มผลผลิตได้ 15% แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการยกระดับการเกษตรไทย1
แม้จะมีความท้าทายในการนำ AI มาใช้ในภาคเกษตรของไทย ทั้งในด้านความรู้และทักษะของเกษตรกร การลงทุนเริ่มต้นที่สูง และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล แต่แนวโน้มการพัฒนาเทคโนโลยีที่เข้าถึงได้มากขึ้น การสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน และการเปลี่ยนแปลงในทัศนคติของเกษตรกรรุ่นใหม่ จะช่วยเร่งการนำ AI มาใช้ในภาคเกษตรของไทยในอนาคต
บทบาทของเกษตรกรไทยในยุค AI จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จากผู้ผลิตสู่ผู้จัดการฟาร์มอัจฉริยะที่ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีในการตัดสินใจ เกษตรกรจำเป็นต้องพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลและการวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงทักษะการเป็นผู้ประกอบการ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มที่
การพัฒนาเกษตรกรรมไทยในยุค AI ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และเกษตรกร ในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการนำ AI มาใช้อย่างเหมาะสมและยั่งยืน ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับภาคเกษตรไทยให้มีความทันสมัย มีประสิทธิภาพ และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก
ดังที่ ดร.รัสรินทร์ ชินโชติธีรนันท์ CEO บริษัท ListenField จำกัด กล่าวไว้ “แม้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้อาจยังอยู่ในช่วงทดลองและพัฒนา แต่เราต้องไม่ลืมว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ทุกครั้งล้วนเริ่มต้นจากความกล้าฝัน ความมุ่งมั่นลงมือทำ และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”1 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงภาคเกษตรด้วย AI อาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่เป็นเส้นทางที่มีความเป็นไปได้และมีศักยภาพในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อภาคเกษตรและเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว